dtac Business blog

“เซินเจิ้น” Silicon Valley ของประเทศจีน กับเทรนด์เทคโนโลยีที่ไปไกลกว่าที่คิด

Written by Naruemon Kongchuensin | 2019-07-23

ก้าวกระโดดอันยิ่งใหญ่

35 ปีที่แล้วเซินเจิ้นเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็ก ๆ ที่อยู่ชายฝั่ง มีผู้อยู่อาศัยไม่มากนักแต่ก็ถูกเลือกให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษแห่งแรกของจีน ด้วยภูมิศาสตร์ที่ใกล้ทะเลติดกับฮ่องกง มีความเหมาะสมในด้าน โลจิสติกส์ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับการสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ ปัจจุบันเมืองนี้มีประชากรในเมืองมากกว่า 12 ล้านคน และยังเป็นหัวใจของการผลิตให้กับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก "ถ้าเปรียบ Silicon Valley เป็นเมืองหลวงแห่งซอฟต์แวร์ของโลก แสดงว่า 'เซินเจิ้น' ก็เป็นเสมือนเมืองแห่งการผลิตฮาร์ดแวร์นั่นเอง"

 

 

โมเดลธุรกิจแบบ Shanzhai

 “เซินเจิ้น” เมืองที่เคยถูกมองว่าเป็นเมืองแห่งการก๊อบปี้ในอดีต แต่ปัจจุบันกลับเป็นเมืองแห่งนวัตกรรมของโลกอีกหนึ่งเมืองไปแล้ว โดยสิ่งที่ทำให้เมืองนี้มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็วนั้น เป็นเพราะโมเดลธุรกิจแบบ Shanzhai ซึ่งก็คือวัฒนธรรมการออกแบบ “ที่เหมือนกับต้นแบบ” สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของการทำงานที่เปิดกว้างอย่างรวดเร็ว และอยู่บนพื้นฐานของการแบ่งปันความรู้และทรัพยากร ดังนั้นแนวคิดเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอในประเทศจีนอย่างที่ใคร ๆ นึกถึงในตะวันตก วัฒนธรรม Shanzhai ขับเคลื่อนนวัตกรรมแทนที่จะขัดขวางนวัตกรรม โดยการสร้างสิ่งที่เหมือนกับต้นแบบ จนเกิดทักษะและความรู้ที่สามารถสร้างผลิตภัณฑ์ให้ทัดเทียมกับแบรนด์ใหญ่ของโลกได้

 

 เมื่อ "เซินเจิ้น" สร้างเทคโนโลยีให้ไปไกลกว่าที่คิด

 

รถไฟความเร็วสูง กว่างโจว – เซินเจิ้น - ฮ่องกง เรียกสั้นๆว่า XRL มีความเร็วถึง 300 km/h เป็นรถไฟสายสำคัญที่วิ่งผ่านพื้นที่เศรษฐกิจ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกันในด้านการไหลเวียนของทรัพยากรมนุษย์ระหว่างกัน และความเชื่อมโยงในเรื่อง โลจิสติกส์ เศรษฐกิจอีกด้วย

เทคโนโลยี 5G จะถูกติดตั้งใช้งานเชิงพาณิชย์เสร็จสิ้นในปี 2563 ซึ่งได้มีโครงการติดตั้งนำร่องเพื่อใช้งานไปบ้างแล้ว ยกตัวอย่างเช่น ระบบอัจฉริยะจดจำใบหน้าผู้ที่ทำผิดกฎจราจร กรณีที่มีผู้ขับขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ฝ่าไฟแดงบนทางข้ามถนน

หุ่นยนต์เคลื่อนที่อิสระ (AMR) เทคโนโลยีสำหรับการขนย้ายสิ่งของภายในคลังสินค้า เป็นผลิตภัณฑ์ที่กำลังมาแรงในวงการ โลจิสติกส์ ของโลกที่ไม่ต้องใช้คน ด้วยความอัจฉริยะของสมองกลที่ทำงานประสานกับเซนเซอร์ ทำให้วิ่งรับส่งสิ่งของได้ตรงจุดตรงเวลา หยุดเมื่อมีสิ่งกีดขวาง และวิ่งต่ออัตโนมัติ เป็นผลงานที่ใช้งานในตลาดแล้วของบริษัท Syrius Robotics

ตัวอย่างที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทำให้เราสามารถเห็นภาพความก้าวหน้าของเมืองเซินเจิ้นได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งก็ทำให้เห็นแนวโน้มการเติบโตในหลายด้านของประเทศจีนไปด้วยเช่นกัน

 

 

“จีน” ผู้นำเทรนด์หน้าใหม่ของโลก

แม้จะมีความเชื่อที่นิยามกันว่า “เซินเจิ้น” เป็นเมืองหลวงด้านฮาร์ดแวร์ของโลก แต่เซินเจิ้นก็ยังคงมีความมุ่งมั่นอย่างลึกซึ้งในการเป็นผู้นำระดับโลกด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีแทนที่จะเป็นสถานที่ที่ใคร ๆ ก็สามารถซื้ออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือของเล่นราคาถูกได้ แต่ต้องการย้ายสถานะของประเทศจากการเป็นผู้ “ผลิตในจีน” (Made in China) กลายเป็นผู้ “ออกแบบวิจัยและพัฒนาในจีน” (Innovated by China) ซึ่งจะทำให้เปลี่ยนภาพจำของเซินเจิ้นที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่เมืองท่าเหมือนในสมัยอดีตที่ผ่านมา แต่ได้ก้าวไปสู่การเป็นผู้นำในเทรนด์ของวงการนวัตกรรมตัวจริงที่ต่อกรกับแบรนด์ดัง ๆ ระดับโลก  และได้กลายเป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีที่สำคัญสำหรับบริษัทจากยุโรป สหรัฐอเมริกา และเอเชีย เป็นที่ตั้งของบริษัทเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุดในโลก ได้แก่

  • Tencent ยักษ์ใหญ่ด้านอินเทอร์เน็ต เกม ผู้พัฒนา WeChat ระบบแชทออนไลน์ที่ฮิตที่สุดในจีน
  • Huawei บริษัทด้านการสื่อสารโทรคมนาคม ผู้พัฒนาอุปกรณ์สำหรับสัญญาน 5G ที่รองรับการติดต่อสื่อสารผ่านทางอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในอนาคต และ สมาร์ตโฟน ที่มีกล้อง AI อัจฉริยะที่ดีที่สุดของโลก
  • DJI ผู้ผลิตโดรนอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยี Edge Computing การประมวลผลในตัวโดรนแล้วส่งผลกลับมาที่คอมพิวเตอร์ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้งานประทับใจมากขึ้น

 

“การเปิดประเทศของจีนให้เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำทางเทคโนโลยีในวันนี้ มีองค์ประกอบจากปัจจัยสำคัญหลายข้อ ไม่ว่าจะเป็นความพร้อมในเรื่องของ ทรัพยากรมนุษย์ เงินทุน ทำเลที่ตั้ง ฯลฯ แต่ยังมีปัจจัยสำคัญที่ขาดไปไม่ได้เลยนั่นก็คือ เรื่องของการส่งข้อมูลข่าวสาร ได้อย่างรวดเร็วฉับไว ผ่านการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง และ อินเทอร์เน็ตสำหรับลูกค้าองค์กร ที่มีประสิทธิภาพให้การพัฒนาเทคโนโลยีและธุรกิจของทั้งประเทศ ให้เป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบที่สุด”

 

อัพเดตเทรนด์เทคโนโลยี และเรื่องราวที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจของคุณ ที่นี่